วังไก่แจ้
ร้านอาหารไทยแห่งแรก วังไก่แจ้ และที่มาของคำว่า “วังไก่แจ้”
ในปี 1967 – 1968 เป็นช่วงแรกๆ ที่คนไทยเริ่มทยอยเข้า L.A. เป็นจำนวนมาก ตอนนั้นตึกสูงๆ ใน Downtown ยังมีไม่กี่ตึก อยู่ใน apartment สูงแถวๆ ถนน Wilshire, Ingraham, Witmer, Valencia, Lucas หรือถนน 6, 7, 8 สามารถเห็น City Hall ตั้งโดดเด่นใน Downtown แม้กระทั่ง Apartment สองชั้นที่ Loma Dr. ก็ยังมองเห็น
ในช่วงนั้นคนอเมริกันยังไม่ค่อยรู้จักคนไทยมากนัก เดินไปตามถนนพบปะก็พูดคุยทักทายเพื่อฝึกภาษากับคนอเมริกัน และเขาก็ถามว่าเรามาจากไหนหน้าตาคล้ายคนจีนหรือไม่ก็เวียดนาม แต่เมื่อบอกว่าเป็นคนไทย มาจากประเทศไทย ส่วนมากก็ยังงงว่า ประเทศไทยอยู่ตรงไหน เมื่อบอกเขาว่าอยู่แถบไหนเขาก็อุทาน “My god you came a long way”
คนไทยเริ่มทยอยเข้าอเมริกามากขึ้น ตั้งแต่ปี 1968 และอยู่ กระจัดกระจายทั่วไป ตั้งแต่ Long Beach, L.A., Pasadena, San Fernando Valley, North Hollywood, Reseda, Topanga, North Ridge คือทุกคนมาถึงก็ไปอยู่กับเพื่อนชั่วคราว เพื่อเรียนรู้ลู่ทาง และ custom เมื่อปีกแข็งแล้วก็แยกย้ายกันไป ทีนี้ก็ตัวใครตัวมันหาหนอนกินเอง ที่คนไทยจะไปพบหน้ากันมากที่สุดก็ที่ Lynwood High เพราะออก I-20 ให้คนไทยมากที่สุด
มีกลุ่มหนึ่งในแถบตะวันตกของ Downtown ตั้งแต่ แถว Woodberry College ไปถึง Alvarado และ 3rd street ลงไปถึง Olympic ซึ่งเป็นจุดเริ่มของที่มาของคำว่า “วังไก่แจ้” และ “ห้องอาหารไทยแห่งแรก” (และเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง) ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อฤชาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์คนไทยใน L.A. แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ในเมืองไทยยังเคยลงประวัตและเอ่ยชื่อ “วังไก่แจ้” แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า ทำไมถึงเรียกว่า “วังไก่แจ้” ใครเป็นคนตั้งชื่อนี้
ผู้เปิดร้านอาหารไทยแห่งแรกใน L.A เป็นรุ่นพี่ที่พวกเราเรียก “พี่เป๋ง” เป็นทหารผ่านศึก เกาหลี รุ่น 11 พี่เป๋งเปิดร้านอาหารไทยแห่งแรกที่ ถนน Vermont ระหว่างถนน 8 และถนน 9 ซึ่งต่อมาได้ขายกิจการให้กับ อรุณี ที่อยู่ วังไก่แจ้ และต่อมาอรุณีได้ขายกิจการต่อ จึงกลายมาเป็น ร้านอาหาร โอชา อันเป็นที่รู้จักกันทั่วไป
เมื่อพูดถึง “วังไก่แจ้” ก็ต้องขอพูดถึงที่มาของชื่อ “วังไก่แจ้” แน่นอนชื่อนี้จะต้องเป็นชื่อที่คนไทยตั้งขึ้น แล้วใครล่ะเป็นคนตั้งขึ้น และทำไมถึงเรียกว่า “วังไก่แจ้”
วังไก่แจ้ ที่แท้ก็เป็นเพียง Apartment เก่าตั้งอยู่ที่ 1054 Ingraham St. อยู่ใกล้ Woodberry College และห้องซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “วังไก่แจ้” ก็ไม่ใหญ่โตรโหถาน เป็นเพียงแค่ single room
ที่มาของคำว่า “วังไก่แจ้” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่อยู่ Union Ave. and 6th Street ชื่อ พิเชษฐ์ สงฆ์ประชา มีชื่อเล่นว่า “โอ” หลังจากได้อยู่ร่วมกันพักหนึ่ง โอเห็นว่าควรจะแยกย้ายไปหาที่อยู่สำหรับตนเอง (ปลีกแข็งแล้ว จะไปหาหนอนกินเอง) ก็มาเจอ Apartment ใกล้ Woodberry College ซึ่งส่วนหนึ่งของ Apartment ถูกไฟไฟไหม้เมื่อไม่นานมานี้ มีห้องให้เช่าราคาถูก และตนก็คิดว่าเงียบดีและพอที่จะสงบสติอารมณ์ได้บ้าง เมื่อย้ายเข้าไปในห้อง ซึ่งเป็นห้อง single ก็พบว่า คนที่เคยอยู่ก่อนได้ลืมถ้วย (ชามเล็กๆ) ไว้หนึ่งใบตั้งอยู่บนขอบเพดาน บนรอบถ้วยมีภาพวาดเป็นรูปไก่แจ้ โอและเพื่อนๆก็เลยเรียก Apartment นี้ว่า “วังไก่แจ้” แต่นั้นมา
วังไก่แจ้ ที่โอย้ายไปอยู่เป็นคนไทยคนแรก ต่อมามีผู้หญิงไทย (ผมยาว ไม่ทราบชื่อ) มาเช่าอยู่อีกห้องหนึ่งเท่านั้น และต่อมาภายหลังก็เริ่มมีคนไทยทยอยเข้าอยู่มากขึ้น รวมทั้ง อรุณี
อรุณี หรือเรียก เจ้ณี ทำอาหารไทยให้คนไทยใน Apartment ชิม ซึ่งมีรสชาติดีเป็นที่ถูกใจคนไทยใน Apartment ต่อมาเจ้ณี ก็เริ่มทำขายคนไทยใน Apartment และเพื่อนๆ ที่พักที่อื่นก็มาซื้อกินด้วย จากนั้นเจ้ณีก็ไปซื้อกิจการ ต่อจากพี่เป๋ง และจากนั้นร้านอาหารอรุณีก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขายกิจการต่อในภายหลัง
นี่คือความเป็นมาที่แท้จริงของ ร้านอาหารไทยแห่งแรกใน L.A. และวังไก่แจ้ (ที่ไม่มีไก่แจ้ซักตัว) และ ผู้ให้ชื่อ “วังไก่แจ้” ก็ไม่ได้เป็น หม่อมเจ้าหรือหม่อมหลวง และก็ไม่เคยมีหม่อมเจ้า หรือหม่อมหลวงมาอยู่ซักคน และผู้ที่รู้เรื่องนี้จริงๆ ก็มีเพียงกลุ่มเล็กๆสิบกว่าคน ซึ่งปัจจุบันทราบว่ายังมีชีวิตอยู่ประมาณสิบคน
นอกจากสิ่งแรกๆเกี่ยวกับคนไทยที่เกิดขึ้นตามที่เขียน กลุ่มที่อยู่ Union Ave. และถนนใกล้เคียง เช่น Union Dr. Union Pl. Loma Dr. Shatto St. Ingraham St. Columbia Ave. etc. ก็ยังเคยเป็นกลุ่มที่จัดงานชมรมคนไทยใน L.A. ที่ Ambassador Hotel และหนึ่งในกลุ่มชื่อ วรพจน์ ชวเมธี หรือ “กวง” ก็เคยเป็นนายกสมาคมคนไทยใน L.A. ในสมัยหนึ่ง
ในปี 1969 และปีต่อๆมา กลุ่มที่อยู่ Union Ave. และถนนใกล้เคียงก็เริ่มแยกย้ายกันไป เพื่อหาที่อยู่ที่มีความเหมาะสมแก่ตัวเอง หรืออาจจะเรียกได้ว่า “รวมกันเราตาย แยกกันเราอยู่” อะไรในทำนองนั้น ส่วนมากก็มีครอบครัวในเวลาต่อมา และเมื่อมีครอบครัวก็มีภาระ การไปมาหาสู่และการสังสรรค์ก็ลดลง บ้างก็ย้าย ไปอยู่เมืองอื่น บ้างก็ย้ายไปอยู่รัฐอื่นแล้วแต่ลิขิตชีวิตจะพาไป ส่วนมากก็ประสพความสำเร็จตามความพอใจ ของแต่ละบุคคล บางคนประสพความสำเร็จแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย บางคนก็กลับมาประสพความสำเร็จในเมืองไทย
โอ หรือพิเชษฐ์ สงฆ์ประชา ที่กลายเป็นเจ้าครองวังไก่แจ้ (โดยปริยาย) ถูกพี่สาวลากตัวไปอยู่ที่ Boston (เพราะเกรงว่า จะกลายเป็นหนอนแล้วถูกอีกาคาบเอาไปกิน) โอขับรถ VW เพื่อนตายจาก L.A. ไป Boston และอยู่แถว Albany พักหนึ่ง และได้กลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อสามสิบปีก่อน ได้ประสพความสำเร็จบางอย่างที่บ้านเกิดชัยนาท รวมทั้งได้รับเลือก เป็นสมาชิกสภาจังหวัดชัยนาท ขณะนี้ใช้ชีวิตบั่นปลายเป็น “playboy” ร่วมกับเพื่อน ขี่มอเตอร์ไซเที่ยวทั่วไทย
“แป๊ะ” หรือ สนธิ ที่เป็นเพื่อน เนียน หรือ Daniel ที่อยู่ Union Ave ด้วยกันครั้งหนึ่งก็อีกคน ที่พี่สาวกลัวว่าจะกลาย เป็นหนอนแล้วถูกอีกากิน พี่สาวดึงไปอยู่ San Fran เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน จบ MBA ทำงานเป็น accountant อยู่พักหนึ่ง ไม่พอใจอยากเป็นกุ๊ก ก็เลยเปิดร้านอาหารมีชื่อดังใน San Fran ก่อนที่จะกลับมาอยู่เชียงราย มีภรรยาอยู่ที่ San Fran เป็นลูกสาวเศรษฐีจีนชื่อดัง มีลูกสาวสองคนจบปริญญาทั้งคู่เป็นที่น่าภูมิใจ แต่แป๊ะบอกว่า อยู่เชียงรายดีกว่า สบายใจ และสบายกายดี ตอนนี้ทำงานเป็นที่ปรึกษานายกเทศมนตรี เชียงราย ได้ข่าวว่า Daniel เป็นที่ปรึกษาอยู่ที่ สยามกลการพักหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน 05/15/2009
อีกคนหนึ่งชื่อพิเชษฐ์เหมือนกัน พิเชษฐ์ นาคะรัตนากร หรือเพื่อนๆเรียก “เชษฐ์” ที่อยู่ Union Dr. กลับมาอยู่เมืองไทย ยี่สิบกว่าปีแล้ว ประสพความสำเร็จกับกิจกรรมบรรจุอาหารเพื่อส่งไปขายทั่วโลก มีชื่อว่า Food Specialize Co., Ltd. ปัจจุบันนี้มีโรงงานอยู่สองแห่งในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อนๆมีความภาคภูมิใจอย่างมาก
พูดถึงพิเชษฐ์ นาคะรัตนากร ก็ต้องพูดถึง เจียว ซึ่งเป็นหลาน ได้กลับมาประสพความสำเร็จในประเทศไทย เปิดโรงงานทำ stainless ต่างๆ สองคนอาหลานไปไหนมาไหนใครๆที่ไม่รู้คิดว่าเป็นเพื่อนกัน
จวบ หรือ ประจวบ พัฒนาวิน ก็อีกหนึ่งในกลุ่ม Union Ave ขุดอุโมงค์หลบๆซ่อนๆอยู่พักหนึ่ง เผลอแป๊บเดียวทะลุขุนเขา ไปโพล่อีกทีซื้อบ้านอยู่ที่ Pomona ที่รู้ๆ เปิดร้านขายอาหารที่ทำให้ประชากร เป็นโรคหัวใจตีบหัวใจตันอยู่พักหนึ่ง พอที่จะมีเงินผ่อนบ้านและส่งลูกชายสองคนไปเรียนจนจบ ภรรยาก็ทำงานช่วยหาเงินเข้าบ้านตัวเป็นเกลียว ตอนนี้กำลังตัดสินใจอยู่ว่า ควรจะปล่อยสองนกปลีกแข็งไปหาหนอนกินเอง แล้วสองคนตายายกลับมาอยู่เมืองไทย keep-in-touch ดีไหม
กวง หรือ วรพจน์ ชวเมธี แยกจากกลุ่ม Union Ave ไปซื้อบ้านอยู่ Lakewood เป็นช่างนาฬิกาทำเงินดีที่ Sears เคยเป็นนายกสมาคมคนไทยใน L.A. หนึ่งสมัย กลับมาเมืองไทยพักหนึ่ง แล้วไปอยู่ Australia อีกพักหนึ่ง ตอนนี้อยู่ กทม. ร่วมกับน้องๆเปิดกิจการเสื้อครุยสำหรับใช้สวมเวลารับปริญญา อยู่ที่ท่าพระจันทร์
กวง ยังมีน้องชายคนหนึ่งที่เรา รู้จักกันมานาน ชื่อ เจียว หรือ เต๊กเจียว แซ่ตั้ง เป็นช่างนาฬิกาเหมือนกัน กบดานกับเพื่อนๆแถว Melrose เจอกันอีกทีเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เป็นเจ้าของ Jewelry Store อยู่ที่ North Hills ซื้อบ้านอยู่แถวนั้นกับครอบครัว มีลูกชายรูปหล่อจบ bachelor ที่ Berkeley แต่มาดังที่เมืองไทย เป็นดารานายแบบ โฆษนา และเล่นละครบางครั้ง และคิดว่าอาจจะอยู่เมืองไทย permanent, “I’m just going to keep in touch with mommy and daddy by phone ก็พอแล้ว” เจียวมีลูกสาวอีกหนึ่งคน ปีกพอแข็งเพิ่งจะบินออกจากรังเมื่อเร็วๆนี้ ตอนนี้สองคนตายายก็อยู่ในบ้านสบายพุง
มีสองคนเพื่อนหนุ่มในละแวกเดียวกัน อยู่ apartment ที่ถนน Bonnie Brea ทั้งคู่เรียนเก่ง มาถึงก็เรียน เรียน เรียน เผลอแป๊บเดียวจบแล้ว คนหนึ่งชื่อ ธีระ หรือ หมู เรียนจบวิศว ด้วยความเก่ง พอจบปับก็ได้งานทำทันที ตอนนี้ได้ข่าวว่ายังเป็น engineer อยู่ที่อเมริกา อีกคนชื่อ ถาวร หรือ แป๊ะ จบ BA แล้วไปเป็น insurance broker อยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย
กริช ไตรสารสิน เพื่อนอาวุโสเคยอยู่ร่วมกัน ได้ข่าวว่าเรียนจบแล้วกลับไปทำงานในเมืองไทย 20-30 ปีแล้ว ไม่มีใครพบเห็น
กลุ่มที่อยู่ Loma Dr. ที่ จำนง เคยอยู่ก็มีหลายคน หลังจากแยกย้ายกันไปก็ไม่ได้พบปะกัน
ทวี แผ่นทอง ไปมาหาสู่ที่ Loma Dr. บ่อยๆ ได้ข่าวว่า หลังจากเรียนจบแล้วเบื่อแอวเอ สร้างความกล้าหาร ขับ VW เต่า เพื่อนตายจาก US of A มาเมืองไทย พอมาถึงรถก็พังพอดี ค่าน้ำมันกับค่าซ่อมแซมระหว่างทาง พอๆกับค่าตั๋วเครื่องบินสามรอบโลก ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่า อยู่ที่ใดในเมืองไทย
กลุ่มที่ยังอยู่ใน L.A. ในขณะนี้ก็ยังมีอีกหลายคน ซึ่งจะเรียกกลุ่มนี้ว่า L.A. Diehard ก็ว่าได้ อย่างเช่น วิสัน วายุภักษ์ภานนท์ กับ คุณอัมพร ก็ยังมีบ้านอยู่ที่เดิมใกล้ Griffith Park
วิสัน เป็นคนแรกๆที่มา L.A. ก่อนใครในกลุ่ม Union และหลายคนในละแวกนั้น ซื้อบ้านอยู่ใกล้ Griffith Park เมื่อ ประมาณสามสิบกว่าปีก่อน เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานจนโตก็ในบ้านนี้ ส่งลูกชายเรียนจนจบ และทำงานเป็นคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ เป็นที่ภาคภูมิใจของวิสันอย่างมาก ตอนนี้วิสัน กับ คุณอัมพร ก็ยังนั่งเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านเดิม แล้วจะไม่เรียกว่า “L.A. Diehard” ได้อย่างไร ถึง weekend สองคนปู่ย่า หรือตายาย ก็ออกเที่ยว บางทีก็บุกดินแดน American-Indian แล้วแต่ใจจะพาไป ซึ่งก็เป็นความสุขอีกอย่าง
อีกหนึ่งของ L.A. Diehard อยู่ Loma Dr. ชื่อ จำนง ธนางกุล หรือ “นง” ไปแอวเอรุ่นเดียวกับวิสัน เดี๋ยวนี้อยู่ที่ Monterey Park กับภรรยาและลูกชาย กำลังสองจิตสามใจว่าจะ retired ที่ไหนดี 1 แถวๆ California and Nevada border 2 ประเทศ เม็กสิโก 3 ประเทศไทย แต่รู้สึกว่าจะ favored อันดับหนึ่งมากกว่าเพราะเป็นกลางระหว่าง ตัวเองไทยภรรยาเม็กซิกัน
ที่ died ใน LA ก็มี เท่าที่รู้ก็คือ คมสัน คำชำนาน หรือเพื่อนสนิทเรียก ซ้ง เสียชีวิตด้วยโรคมเร็งหลายปีแล้ว คุณแป้วกับลูกอยู่ที่ใดไม่มีใครรู้ ภรรยาใหม่ไม่เป็นที่สนิทสนมกับเพื่อนๆ
คมสัน มีน้องชายคนหนึ่ง ชื่อ สำราญ คำชำนาน ขายผัดไทยอยู่ที่ Jackson, Wyoming นี่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันแต่ไม่ค่อยเจอกัน แต่พอรู้ว่า เมื่อหิมะตกที่ Jackson ก็บินมาเมืองไทยกับภรรยา หรือสถิตอยู่แถวๆ Vegas ซื้อบ้านอยู่หลังหนึ่งที่ Idaho
วินัย นิ่มนวลรัตน์ ก็เป็นอีกหนึ่งที่เสียชีวิตใน LA ด้วยอุบัติเหตุจากรถยนต์เมื่อสิบกว่าปีก่อน วินัย มีเพื่อนมากมาย และเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทยใน LA ในสมัยนั้น ทำงานอยู่ที่ Century Plastic จนได้เป็น foreman ช่วยเอาคนไทย เข้าไปทำงานหลายคน จนเกือบจะกลายเป็นโรงงานของคนไทย ครั้งหนึ่งเคยเขียนข่าวให้หนังสือพิมพ์ไทยในแอวเอ ทิ้งไว้เบื้องหลัง คุณแป้ว กับลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคน ทั้งสามจบการศึกษาเป็นที่น่าภูมใจ
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่อยู่ด้วยกัน และที่อยู่ Lynwood, Compton, Paramount, Long Beach ที่ยังไม่เจอตัว บางคนก็เห็นหลังไวๆ แล้วแวบหายเข้ากลีบเมฆไป ถ้าตามเจอตัวแล้วจะนำมาเล่าให้ฟัง หรือถ้าใครเจอ หรือใครรู้ว่าใครอยู่ที่ไหน ก็เขียนมาบอกหน่อย จะ appreciate very much.
เพิ่มเติม
ป้อง หรือ สัญญา สถีรบุตร ที่เคยอยู่ แถวๆ Lynwood, Compton กลับมาเมืองไทยนานแล้ว เล่นการเมืองอยู่พักหนึ่ง เมื่อสมัยที่ สมัคร สุนทรเวศ ก่อตั้งพรรคการเมือง หลังสุดไปนั่งเป็นบอร์ดรถไฟ ก่อนที่จะ retired เมื่อ 2 - 3 ปีก่อน ตอนนี้ เป็น ประธานที่ปรึกษาที่ กระทรวงพาณิชย์ 05/15/2009 |